วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

บทที่ 4 อนุกรมวิธาน

ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
1. อนุกรมวิธาน (Taxonomy หรือ Systematics)
อนุกรมวิธาน (Taxonomy หรือ Systematics) เป็นการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจำ แนกพันธุ์
คือ การจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งจะศึกษาในด้านต่าง ๆ 3 ลักษณะ ได้แก่
1. การจัดจำ แนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ในลำ ดับขั้นต่าง ๆ (Classification)
2. การตรวจสอบหาชื่อวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องของสิ่งมีชีวิต (Identification)
3. การกำ หนดชื่อที่เป็นสากลของหมวดหมู่และชนิดของสิ่งมีชีวิต (Nomenclature)
2. ลำ ดับการจัดหมวดหมู่
2.1 การจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต
การจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต จะจัดเป็นลำ ดับขั้นโดยเริ่มด้วยการจัดเป็นหมวดหมู่
ใหญ่ก่อน แล้วแต่ละหมู่ใหญ่ก็จำ แนกออกไปเป็นหมู่ย่อยลงไปเรื่อย ๆ ในแต่ลำ ดับขั้น (taxon) จะมีชื่อ
เรียกกำ กับ ลำ ดับขั้นสูงสุดหรือหมู่ใหญ่ที่สุดของสิ่งมีชีวิต คือ อาณาจักร (Kingdom) รองลมาเป็นไฟลัม
(phylum) สำ หรับพืชใช้ดิวิชัน (Division) ไฟลัมหรือดิวิชันหนึ่ง ๆ แบ่งเป็นหลายคลาส (Class) แต่ละ
คลาสแบ่งเป็นหลาย ๆ ออร์เดอร์ (Order) ในแต่ละออร์เดอร์มีหลายแฟมิลี (Family) แฟมิลีหนึ่ง ๆ แบ่ง
เป็นหลายจีนัส (Genus) และในแต่ละจีนัสก็มีหลายสปิชีส์ (Species) ดังนั้น ลำ ดับขั้นของหมวดหมู่สิ่งมี
ชีวิต (taxonomic category) จะเขียนเรียงลำ ดับจากขั้นสูงสุดลดหลั่นมาขั้นตํ่าดังนี้
อาณาจักร (Kingdom)
ไฟลัมหรือดิวิชัน (Phylum or Division)
คลาส (Class)
ออร์เดอร์ (Order)
แฟมิลี (Family)
จีนัส (Genus)
สปิชีส์ (Species)





3. การตั้งชื่อสิ่งมีชีวิต ในการเรียกชื่อสิ่งมีชีวิต มีเรียกกัน 2 ชนิด คือ
3.1 ชื่อสามัญ (Common name)
ชื่อสามัญ (Common name) เป็นชื่อเรียกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกันไปตาม
ภาษาและท้องถิ่น และมักมีชื่อเรียกกันอย่างสับสน ก่อให้เกิดปัญหามากมาย เป็นต้นว่า “แมลงปอ”
ภาคเหนือเรียกว่า “แมงกะปี้” ภาคใต้เรียกว่า “แมงพี้” ภาคตะวันออก เรียกว่า “แมงฟ้า” “มะละกอ”
ภาคเหนือเรียก “บักก้วยเต้ด” ภาคใต้เรียก “ล่อกอ” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก “บักหุ่ง” เป็นต้น
3.2 ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name)
ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name) เป็นชื่อเฉพาะเพื่อใช้เรียกสิ่งมีชีวิตเป็นแบบ
สากล ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ไม่ว่าชาติใดภาษาใดรู้จักกันโดยใช้ภาษาลาติน สำ หรับตั้งชื่อวิทยา
ศาสตร์

1. คาโรลัส ลินเนียส (Corolus Linnaeus) นักชีววิทยาชาวสวีเดนเป็นผู้ริเริ่มใน
การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้กับสิ่งมีชีวิต เมื่อ พ.ศ. 2310 โดยเสนอให้ใช้ 2 ชื่อ (binomial nomenclature)
จึงได้รับการยกย่องเป็น “บิดาแห่งการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์”

2. เหตุที่ชื่อวิทยาศาสตร์ กำ หนดเป็นภาษาลาติน เพราะ
1) ภาษาลาตินนิยมใช้ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ในสมัยของลินเนียสราวศตวรรษที่
17 และ 18
2) ภาษาลาตินเป็นภาษาที่ตายแล้ว ไม่ใช้เป็นภาษาพูด จึงมีความหมายไม่ค่อย
เปลี่ยนแปลง
3) หลักเกณฑ์การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ ของสิ่งมีชีวิตในลำ ดับขั้นต่าง ๆ
3.1 ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต ต้องเป็นภาษาลาตินเสมอ หรือภาษาอื่นที่
เปลี่ยนแปลงมาเป็นภาษาลาติน
3.2 ชื่อวิทยาศาสตร์ของพืช และสัตว์จะเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน
3.3 ชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชและสัตว์แต่ละหมวดหมู่จะมีชื่อที่ถูกต้องที่สุด
เพียงชื่อเดียวเรียกว่า correct name
3.4 ชื่อหมวดหมู่ทุกลำ ดับขั้น ตั้งแต่แฟมิลีลงไปจะต้องมีตัวอย่างต้นแบบ
ของสิ่งมีชีวิตนั้นประการพิจารณา
􀂊 ชื่อแฟมิลีของพืชจะลงท้ายด้วย -sceas
􀂊 ชื่อแฟมิลีของสัตว์จะลงท้ายด้วย -idao
3.5 ชื่อในลำ ดับขั้นจีนัส (genus) หรือ generic name การเขียนหรือการพิมพ์
ต้องขึ้นด้วยอักษรตัวใหญ่ และตามด้วยอักษรตัวเล็กเสมอ
3.6 ชื่อในลำ ดับขั้นสปีชีส์ (species) หรือ specific name จะต้องประกอบ
ด้วยคำ 2 คำ เสมอ โดยถือตาม Bionomial System อย่างเคร่งครัด
คำ แรกจะเป็นชื่อ genus ขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ และคำ หลังเป็น
specific epither ขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเล็ก ซึ่งมักจะเป็นคำ คุณศัพท์
แสดงลักษณะเด่น เช่น สี ถิ่น กำ เนิด รูปพรรณสัณฐาน บุคคลผู้ค้นพบ
หรือเป็นเกียรติแก่ผู้ตั้ง
3.7 ชื่อจีนัสเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่และเอนหรือขีดเส้นใต้ชื่อเสมอ
ถ้าไม่เขียนเอน เช่น Anopheles หรือ Anopheles ชื่อระบุชนิด
(specific epithet) เขียนด้วยอักษรตัวเล็กและเอน หรือขีดเส้นใต้ชื่อ
ถ้าไม่เขียนตัวเอนเช่น anopheles sundaicus หรือ Anpheles sundaicus
การขีดใต้ต้องขีดแยก ห้ามขีดต่อเป็นเส้นเดียวกัน
3.8 ชื่อผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ให้เขียนตามหลังชื่อ
วิทยาศาสตร์ด้วยตัวธรรมดา นำ ด้วยอักษรใหญ่ เช่น Anopheles
sundaicus Rodenwaldt ถ้าชื่อจีนัสถูกเปลี่ยนไปไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
ชื่อผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์คนแรกต้องเขียนไว้ในวงเล็บ
3.9 ถ้าสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน มีชื่อวิทยาศาสตร์หลายชื่อ เนื่องจาก
นักวิทยาศาสตร์ต่างคนต่างพบ แต่ไม่ทราบมีคนพบและตั้งชื่อไว้ก่อน
แล้ว และตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ เช่น หางนกยูงไทย ลินเนียสตั้งชื่อก่อนว่า
Poinciana pulcherime Linn ต่อมา Swartz ตั้งชื่อเป็น Caesalpinla
pulcherima Swartz ในกรณีเช่นนี้ชื่อหลังต้องยกเลิกไป
3.10 ชื่อวิทยาศาสตร์ตามระบบ Trinomial Nomenclature มีชื่อที่ประกอบ
ด้วย 3 คำ ซึ่งระบบนี้จะแสดงถึงระดับซับสปีชีส์ (Subspecies หรือ
Variety
เช่น ยุงก้นปล่อง Anopheles balabecensis balabacensia
แบคทีเรีย Bacillus thuringlensis thuringiensis
แบคทีเรีย Bacillus thuringlensis israeiensis
นกกระจอกกลุ่มแม่นํ้าไนส์ Passer domesticus nitoticus
นกกระจอกยุโรป Passer domesticus domesticus

อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต

วิทเทเคอร์ (Whittaker, 1969) แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น 5 อาณาจักร โดยแยกเอาเห็ดราออกมาจาก

อาณาจักรโพรติสตา โดยยึดวิถีการได้รับสารอาหารเป็นเกณฑ์ ดังนี้
1. อาณาจักรโมเนอรา (Kingdom Monera) ได้แก่ แบคทีเรีย และสาหร่ายสีเขียวแกมนํ้าเงิน
2. อาณาจักรโพรติสตา (Kingdom Protista) ได้แก่ โพรโตซัวและสาหร่ายบางพวก
3. อาณาจักรฟันไจ (Kingdom Fungi) ได้แก่ เห็ดราต่าง ๆ ราเมือก
4. อาณาจักรพืช (Kingdom Plantae) ได้แก่ พืชมีท่อลำ เลียง และไม่มีท่อลำ เลียง สาหร่าย
5. อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia) ได้แก่ สัตว์ชนิดต่าง ๆ

อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่จัดไว้ในอาณาจักรสัตว์
1. ประกอบด้วยเซลล์ประเภทยูคาริโอติก (Eucaryotic cell) สำ หรับเซลล์ประเภทยูคาริโอติกนี้เป็น
เซลล์ที่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียสและมีออร์กาเนลล์ต่าง ๆ ของเซลล์ เช่น ไมโทคอนเตรีย และโรโบโซม ฯลฯ
2. ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ (multicellular) รวมกลุ่มกันเป็นเนื้อเยื่อ (tissue) สำ หรับลักษณะ
ข้อนี้หมายถึงว่ากลุ่มเซลล์ที่มารวมกลุ่มกันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลล์ (Differentiation) และจัด
เรียงตัวเป็นเนื้อเยื่อโดยรวมกันทำ หน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ
3. มีระยะตัวอ่อน (Embryo) ซึ่งหมายถึงว่าภายหลังการปฏิสนธิแล้ว ไซโกตจะเจริญเติบโต
ขึ้นมาโดยจะมีการเจริญในระยะตัวอ่อนอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นตัวเต็มวัย
4. ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งไม่มีผนังเซลล์ (cell wall) และไม่มีคลอโรพลาสต์ ดังนั้นจึงสร้างอาหาร
เองไม่ได้ ต้องอาศัยสารอินทรีย์โดยการกินสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น อาจจะกินพืชหรือกินสัตว์ด้วยกันก็ตาม
จึงได้ชื่อว่าเป็นพวก เฮเทอโรทรอฟิก ออร์แกนิซึม (Heterotrophic organism)
5. ส่วนมากสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วหรือเชื่องช้าก็ตาม แต่จะแลเห็นได้ชัดเจนว่าเคลื่อนที่ได้
โดยอาจเคลื่อนที่ได้ตลอดชีวิตหรือบางชนิดเคลื่อนที่ได้ในระยะตัวอ่อน เมื่อเป็นตัวเต็มวัยแล้วเกาะอยู่กับที่
เช่น ฟองนํ้า, ปะการัง, กัลปังหา และโอบิเลีย เป็นต้น
6. ส่วนมากจะมีความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่างรวดเร็วเนื่องมาจากมีอวัยวะรับ
ความรู้สึกและตอบสนองสิ่งเร้าโดยเฉพาะ

เกณฑ์เฉพาะในการจัดจำ แนกสัตว์
ในการจัดจำ แนกสัตว์ออกเป็นไฟลัมต่าง ๆ นั้นได้อาศัยเกณฑ์เฉพาะหลายประการในการจัดจำ แนก
ซึ่งได้แก่
1. พิจารณาจากจำ นวนชั้นของเนื้อเยื่อ (germ layer) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1.1 สัตว์ที่มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น (Diploblastica animals) ซึ่งประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นนอก
(ectoderm) และเนื้อเยื่อชั้นใน (endoderm) ได้แก่ สัตว์พวกซีเลนเตอเรต สำ หรับพวกฟองนํ้าแม้ว่าจะไม่มี
เนื้อเยื่อ ectoderm และ endoderm ที่แท้จริงแต่เนื้อเยื่อชั้นในก็ประกอบไปด้วยเซลล์พิเศษ เรียกว่า เซลล์
คอลลาร์ (collar cell) และเยื่อชั้นนอกเป็นเยื่อบุผิวจึงจัดว่ามีเนื้อเยื่อ 2 ชั้นด้วยก็ได้ แต่ก็มีบางท่านมีความ
เห็นว่าไม่ควรถือว่ามีเนื้อเยื่อ 2 ชั้นก็มี
1.2 สัตว์ที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastica animals) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อชั้นนอก (ectoderm)
ชั้นกลาง (mesoderm) และชั้นใน (endoderm) ได้แก่ สัตว์ตั้งแต่พวกหนอนตัวแบนขึ้นไป จนถึงพวกมี
กระดูกสันหลัง
2. พิจารณาช่องในลำ ตัว (coelom) ซึ่งช่องลำ ตัวนี้เป็นช่องที่เกิดจากการแยกตัวของเนื้อเยื่อพบใน
สัตว์ที่มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้นเท่านั้น จากการพิจารณาเกณฑ์นี้จึงจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
2.1 สัตว์ที่ไม่มีช่องในลำ ตัว (Acoelomate animal) จะพบว่าเนื้อเยื่อชั้นกลางประกอบด้วยเซลล์
บรรจุอยู่เต็มไปหมด ได้แก่ พวกหนอนตัวแบน (Phylum Platyhelminthes)
2.2 สัตว์ที่มีช่องลำ ตัวแบบเทียม (Pscudococlomate animal) ช่องลำ ตัวแบบนี้เป็นช่องที่อยู่
ระหว่างเนื้อเยื่อชั้นกลางกับเนื้อเยื่อชั้นในหรือระหว่างเนื้อเยื่อชั้นกลางกับเนื้อเยื่อชั้นนอก ได้แก่ พวกหนอน
ตัวกลม (Phylum Nemathelminthes)
2.3 สัตว์ที่มีช่องลำ ตัวแบบแท้ (Eucoelomate animal) ช่องลำ ตัวแบบนี้เกิดจากเนื้อเยื่อชั้นกลาง
แยกตัวออกเป็นช่อง ได้แก่ พวกไส้เดือนดิน, สัตว์ที่มีขาเป็นข้อ (Arthropods) และสัตว์ชั้นสูง
3. พิจารณาจากลักษณะการมีระบบเลือด (circulatory system) ซึ่งจากเกณฑ์นี้จะแบ่งได้เป็น
กลุ่มดังนี้
3.1 สัตว์ที่ยังไม่มีระบบเลือด ได้แก่ พวกฟองนํ้า, ซีเลนเตอเรต, พวกหนอนตัวแบน และ
หนอนตัวกลม
3.2 สัตว์ที่มีระบบเลือดแบบวงจรเปิด (Open circulatory system) ได้แก่ พวกอาร์โธรพอด
พวกมอลลัสก์ และพวกดาวทะเล
3.3 สัตว์ที่มีระบบเลือดแบบวงจรปิด (Closed circulatory system) ได้แก่ พวกไส้เดือน
และสัตว์ชั้นสูง
4. พิจารณาจากลักษณะทางเดินอาหาร (Type of digestive tract) ซึ่งจากการพิจารณาจะพบว่า
มีทางเดินอาหารแบบต่าง ๆ คือ
4.1 ทางเดินอาหารชนิดไม่แท้จริง เป็นเพียงช่องแบบร่างแห (Channel network) มีลักษณะ
เป็นแต่เพียงทางผ่านของนํ้าจากภายนอกเข้าสู่ภายในลำ ตัวเท่านั้น พบในพวกฟองนํ้า ซึ่งอาจจะกล่าวว่ายัง
ไม่มีทางเดินอาหารก็ได้
4.2 ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete digestive tract) ซึ่งมีลักษณะคล้ายถุง
มีช่องเปิดเพียงช่องเดียวเป็นทางเข้าของอาหาร และเป็นทางออกของกากอาหารไปด้วย ท่อทางเดินอาหาร
แบบนี้ อาจะเรียกว่าช่องกัสโตรวาสคิวลาร์ (Gastrovascular cavity) ก็ได้ พบในทางเดินอาหารของซีเลน
เทอเรตและพวกหนอนตัวแบน (ยกเว้นพยาธิตัวตืด)
4.3 ทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ (complete disgestive tract) เป็นทางเดินอาหารที่มีลักษณะ
เป็นท่อกลาง มีช่องเปิด 2 ทาง โดยช่องหนึ่งทำ หน้าที่เป็นทางเข้าออกของอาหาร และอีกช่องหนึ่งเป็น
ทางออกของกากอาหาร ได้แก่ ทางเดินอาหารของสัตว์พวกหนอนตัวกลม, ไส้เดือนดิน, พวกแมลง,
พวกหอย และสัตว์ชั้นสูง
5. พิจารณาจากลักษณะของสมมาตร (Symmetry) ซึ่งหมายถึงการตัดหรือผ่าออกในแนวใด
แนวหนึ่งแล้วทำ ให้ได้ส่วนที่เหมือนกันทุกประการ ซึ่งแบ่งออกเป็น
5.1 Asymmetry ซึ่งได้แก่ สัตว์จำ พวกฟองนํ้า สัตว์พวกนี้ไม่มีสมมาตรในระยะเป็นตัว
เต็มวัย โดยไม่สามารถตัดในแนวใด ๆ ที่จะทำ ให้ทั้ง 2 ซีก เหมือนกันทุกประการได้เลย
5.2 Radial Symmetry มีสมมาตรแบบรัศมี ซึ่งหมายถึง ถ้าตัดให้ผ่านจุดศูนย์กลางแล้ว
จะสามารถตัดได้ทุก ๆ แนวรัศมี ก็จะได้ 2 ซีกที่เหมือนกันเสมอ ได้แก่ พวกฟองนํ้าบางชนิด, ไฮดรา,
แมงกะพรุน และดาวทะเล
5.3 Bilateral symmetry ลักษณะนี้ สมมาตรแบบเหมือนกัน 2 ซีก คือ สามารถผ่าหรือ
ตัดแบงครึ่งร่างกายตามความยาวของลำ ตัวแล้วทำ ให้ 2 ข้างเหมือนกันทุกประการได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ได้แก่ พวกหนอนตัวแบน, หนอนตัวกลม, ไส้เดือนดิน, พวกแมลง, พวกหอย และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
6. พิจารณาว่าลำ ตัวมีการแบ่งเป็นปล้องหรือไม่ (Segmentation) ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
6.1 ไม่มีการแบ่งเป็นปล้องที่แท้จริง (nonmetameric) กล่าวคือ มีการแบ่งเป็นปล้องเฉพาะ
ภายนอก เป็นการเกิดปล้องเฉพาะที่ส่วนผิวลำ ตัวเท่านั้น ไม่ได้เกิดตลอดตัว เรียกว่า nonmetameric
เช่น พวกพยาธิตัวตืด, หนอนตัวกลม, เอคไคโนเดิร์ม และพวกมอลลัสก์
6.2 การแบ่งเป็นปล้องอย่างแท้จริง (metameric) เป็นการเกิดปล้องขึ้นตลอดลำ ตัวทั้งภายนอก
และภายใน โดยเกิดปล้องจากเนื้อเยื่อชั้นกลาง ทำ ให้เนื้อเยื่อชั้นอื่นเกิดปล้องตามไปด้วย เช่น พวก
ไส้เดือนดิน กุ้ง ปู แมลง และสัตว์มีกระดูกสันหลัง
7. พิจารณาจากแกนพยุงร่างกาย โดยพิจารณาว่ามีโนโตคอร์ด (Notochord) ในระยะตัวอ่อน
(embryo) หรือไม่ และต่อมามีกระดูกสันหลังเป็นแกนพยุงร่างกายหรือไม่
8. พิจารณาจากแบบแผนการเจริญของตัวอ่อน (embryo) โดยศึกษาว่ามีช่องเหงือก (gill slit)
หรือไม่ในระยะใดระยะหนึ่งของชีวิต
9. พิจารณาจากสารเคมีที่สิ่งมีชีวิตสร้างขึ้น โดยเฉพาะโปรตีนในเชิงวิวัฒนาการของโปรตีน
(Protein evolution) เช่น สัตว์ที่มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรม จะสามารถสร้างโปรตีนได้คล้าย ๆ กัน
อาณาจักรสัตว์ (Animal Kingdom)
แบ่งเป็น 9 ไฟลัม ดังนี้
1. Phylum Porifera
สัตว์ใน Phylum นี้คือ พวกฟองนํ้า (Sponge) เป็นสัตว์หลายเซลล์

ลักษณะสำ คัญ
1. ส่วนมากพบในนํ้าเค็ม เกาะตามก้อนหิน ในนํ้าจืด พบ 2 – 3 ชนิด
2. เคลื่อนที่ไม่ได้ เป็นพวก Sessile animal
3. ลำ ตัวเป็นโพรง มีรูพรุนทั่วตัว เรียก Pore หรือ Ostia มีช่องเปิดด้านบนเป็นทางนํ้าออก
เรียก Osculum

4. ประกอบด้วยผนัง 2 ชั้น เรียก Diploblastica คือชั้นนอก (Ectoderm) มีรูพรุนเล็ก ๆ มากมาย
เพื่อให้นํ้าเข้า และชั้นใน (Endoderm) มีเซลล์ลักษณะเป็นปลอก มีแฟลกเจลลัม เรียกว่า Collar cell
หรือ Choanocyte ระหว่างทั้ง 2 ชั้นมีเยื่อบาง ๆ เป็นวุ้น เรียก Mesogloea มีผนังด้านในมีเซลล์พิเศษ
ทำ หน้าที่ดูดอาหารเข้าเซลล์แล้วย่อยเรียก Choanocyte ซึ่งประกอบด้วย Flagellum และ Collar cell

5. เซลล์อยู่อย่างหลวม คงรูปอยู่ได้เพราะมีสปีคุล (spicule) คล้ายกระดูก ซึ่งมี 3 พวกโดยใช้
สารประกอบที่เป็นสปิคุลแยกเป็นเกณฑ์
1. Spicule แบบเส้นใยโปรตีน พบในฟองนํ้าถูกตัว (Spongin network)
2. Spicule พวก Silica (แก้ว)
3. Spicule พวก Caco3 (หินปูน)

6. เป็นพวกที่ไม่มีอวัยวะ จัดเป็นพวก Parazoa
7. อาหารสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ พวก Plankton ย่อยภายในเซลล์
8. การสืบพันธุ์ (Reproduction)

1. แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual reproduction)
ก. แบบแตกหน่อเล็ก ๆ หรือสร้าง Gemmule
ข. แบบงอกใหม่ (Regeneration)

2. สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual reproduction) โดยอาศัยสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ ปล่อย
ออกไปในนํ้าและว่ายเข้าไปในฟองนํ้าอีกตัวหนึ่ง เพื่อผสมกับไข่ เกิดการปฏิสนธิได้ไซโกตและเอมบริโอ
ซึ่งเคลื่อนที่ได้ แล้วจมลงเกาะวัตถุแล้วเจริญเป็นตัวใหม่

2. Phylum Coelenterata
เป็นสัตว์นํ้าทั้งหมด ได้แก่ Hydra, แมงกะพรุน, ดอกไม้ทะเล, ปะการัง, กัลปังหา, ตะละปัดทะเล
ลักษณะ
1. มีหนวด (Tentacle) ที่หนวดมีเข็มพิษ เรียก Nematocyst อยู่ในถุง Cnidoblast ใช้
จับเหยื่อ ป้องกันศัตรู
2. ลำ ตัวกลวง ทำ หน้าที่เป็นทางเดินอาหาร ย่อยอาหาร และขับถ่ายของเสีย เรียกว่า
Gastrovascular Cavity (Enteron)
3. เป็นพวก Diploblastica
4. มีระบบประสาททั่วลำ ตัว Nerve net
5. ช่องเปิดทางเดียวเป็นปากและทวารหนัก
6. รูปร่าง 2 แบบ
ก. คล้ายต้นไม้ เรียก Polyp
ข. แบบกระดิ่ง เรียก Medusa
7. มีสมมาตรแบบ Radial Symmetry

ตัวอย่าง Hydra
กินอาหาร มีการย่อย 2 แบบ
1. ย่อยภายนอกเซลล์
ไรแดง→ Enteron →นํ้าย่อยจากชั้นในย่อย→ สารอาหาร→ ถูกดูดกลับ
2. ย่อยภายในเซลล์
อาหารเช้า→ Endoderm → เกิด Food Vacuole→ แล้วถูกนํ้าย่อยภายในเซลล์ย่อย
ที่อยู่ พบในนํ้าจืดตามจอก แหน
ลักษณะ รูปแบบ polyp มีขนาด 4 – 12 เส้น

เคลื่อนไหว
1. ตีลังกา
2. เขยิบ Basal disk
3. ปล่อยตัวลอยตามนํ้า

การสืบพันธุ์
1. Budding
2. Regeneration
3. แบบอาศัยเพศ เช่น Hydra เป็น Hermaphrodite (กระเทย)
4. สืบพันธุ์แบบสลับ (Alternation of generation หรือ Metagenesis)
3. Phylum Platyhelminthes
Platy = แบน
Helmins = หนอน

ตัวอย่าง
1. พวกเป็น Parasite คือ พยาธิต่าง ๆ
2. พวกดำ รงชีวิตเป็นอิสระในนํ้าจืด เช่น พลานาเรีย บนบก เช่น
หนอนหัวขวาน

ลักษณะสำคัญ
1. ร่างกายมีสมมาตรแบบ Bilateral Symmetry
2. ไม่มีข้อ ปล้อง ที่แท้จริง
3. มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น (Triploblastica)
4. พวก parasite มีอวัยวะยึดติดกับ host เรียก hook ส่วน Planaria
มี Cilia ใช้ในการเคลื่อนที่
5. มีปาก ไม่มีทวารหนัก ทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์
6. ลำ ตัวไม่มีช่องว่าง (Coelom) ลำ ไส้มีแขนงทั่วลำ ตัว
7. มีระบบประสาทแบบสัตว์ชั้นตํ่า คือ มีเส้นประสาท 2 เส้นขนานกัน และ
มีเส้นเชื่อมลางแบบขั้นบันได มีปมประสาทใหญ่ 2 ปมอยู่ที่หัว

การขับถ่าย
โดยใช้ Flame cell ขับถ่ายของเสียที่เป็นของเหลวไม่มีทวารหนัก (ไม่ต้องย่อย)

การสืบพันธุ์
1. มีอวัยวะในตัวเดียวกันเป็น Hermaphrodite เวลาผสมพันธุ์อาจผสมในตัวเอง หรือข้ามตัว
ไข่จะหลุดภายนอกเจริญเป็นตัวอ่อนต่อไป
2. Regeneration โดยการงอกใหม่ เช่น Planaria

การหายใจ
ไม่มีอวัยวะหายใน ใช้การแพร่ก๊าซโดยตรงกับนํ้า ส่วน Parasite หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน

4. Phylum Nemthel minthes (Nematoda = thread)
พวกหนอนตัวกลม
ที่อยู่ พบในนํ้าจืด นํ้าเค็ม ในดินมีทั้ง Free living และ Parasite
ตัวอย่าง
1. พยาธิปากขอ
2. พยาธิเส้นด้าย
3. พยาธิตัวจี๊ด
4. พยาธิโรคเท้าช้าง
5. พยาธิไส้เดือน
6. หนอในนํ้าส้มสายชู
7. พยาธิแส้ม้า
8. ไส้เดือนฝอย

ลักษณะสำ คัญ
1. ลำ ตัวเรียวยาว ตัวเรียบ ไม่มีปล้อง ไม่มีระยางใด ๆ หัวท้ายแหลม
2. ผิวหนังมี Cuticle หนา
3. มีสมมาตรแบบ Bilateral Symmetry
4. เป็น triploblastica
5. มีช่องว่างในลำ ตัวแบบช่องเทียม (Pseudocoelom)
6. ไม่มีระบบหายใจ ไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด
7. ทางเดินอาหารสมบูรณ์ รูเปิดทางปากและทวารหนักอยู่คนละปลาย
8. ระบบประสาท เป็นวงแหวนรอบหลอดคอติดต่อเส้นประสาท ตลอดลำ ตัว
9. เพศผู้และเพศเมีย แยกกัน เรียก Dioecious animal ตัวผู้ขนาดเล็กกว่าตัวเมีย
มีการผสมแบบภายในออกลูกเป็นไข่
10. ของเหลวภายในช่องเทียม (Pseudocoelom) ทำ หน้าที่นำ อาหารแพร่ไปสู่เซลล์
ทั่วร่างกาย

5. Phylum Annelida (ไฟลัมแอนนิลิดา)
ได้แก่ ไส้เดือนดิน ไส้เดือนทะเล ปลิง แม่เพรียง ทากดูดเลือด ตัวสงกรานต์
ลักษณะสำ คัญ
1. ส่วนใหญ่ลำ ตัวกลมยาวคล้ายวงแหวนต่อกันเป็นปล้อง หรือข้อที่แท้จริง คือ ร่างกาย
มีลักษณะเป็นปล้องทั้งภายในและภายนอก ในปล้องมีผนังกั้นเรียก Septum
2. ผัวหนังปกคลุมด้วยคิวติเคิล (Cuticle) บาง มีต่อมสร้างเมือก ทำ ให้ลำ ตัวชุ่มชื้นเสมอ
3. มีระยางมีลักษณะเป็นแท่งหรือเดือย (Sotae) ในแต่ละปล้องใช้ในการขุดรู และ
เคลื่อนที่
4. ลำ ตัวมีกล้ามเนื้อวงและกล้ามเนื้อตามยาว มี coelom ที่แท้จริงโดยมีเยื่อกั้นเป็นห้อง ๆ
5. ทางเดินอาหารสมบูรณ์เป็นท่อยาวตลอดลำ ตัว
6. เป็นสัตว์พวกแรกที่มีระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นแบบปิด เลือดมีสีแดง โดยมีสาร
ฮีโมโกลบินละลายในนํ้าเลือด เม็ดเลือดสีขาว ไม่มีสี
7. หายใจทางผิวหนัง หรือเหงือก
8. ระบบขับถ่าย มีเนฟริเดียมปล้องละ 1 คู่ นำ ของเสียออกจากช่องตัวออกตามท่อเปิด
ออกภายนอก
9. ระบบประสาท มีปมประสาท 1 คู่ อยู่ที่ส่วนหัว เชื่อมไปยังเส้นประสาทกลางตัว
ด้านล่าง ซึ่งมีปมประสาททุกปล้อง อวัยวะรับความรู้สึกมีเซลล์รับสัมผัสกลิ่นและแสง
10. ระบบสืบพันธุ์มีทั้งแยกเพศกัน หรืออยู่ในตัวเดียวกัน เป็น Hermaphrodite แต่ไม่
สามารถผสมกันเองได้ เพราะเซลล์สืบพันธุ์สุกไม่พร้อมกัน ส่วนใหญ่ออกลูกเป็นไข่
แล้วเจริญเป็นตัวอ่อน
- บางพวกสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ เช่น แม่เพรียง มีอวัยวะเพศผู้
และเพศเมียแยกกันและมีการปฏิสนธิภายนอก
- ไส้เดือนดินมีทั้งสองเพศในตัวเดียวกัน แต่การผสมพันธุ์เป็นแบบข้ามตัว และ
ปลิงนํ้าจืด (จัดเป็นแอนนีสิดที่มีการเจริญสูงสุด) มีสองเพศในตัวเดียวกัน
11. ร่างกายเป็น Bilateral Symmetry
12. เป็น Triploblastica Animal

6. Phylum Mollusca (ไฟลัมมอลลัสกา)
ได้แก่ หอย ปลาหมึก หอยงาช้าง และลิ้นทะเล พบทั้งบนบก นํ้าจืด และนํ้ากร่อย สัตว์ใน
ไฟลัมนี้มีมาก รองจากแมลง
ลักษณะสำ คัญ
1. ลำ ตัวนิ่ม สั้น ไม่เป็นปล้องปกคลุมด้วยแมนเติล (mantle) ซึ่งเป็นเยื่อทำ หน้าที่สร้าง
เปลือกแข็งพวกหินปูน และบางพวกไม่มีเลย
2. มีส่วนหัวด้านหน้า และด้านล่างเป็นแผ่นเท้าสำ หรับเคลื่อนที่ ขุดฝังตัว และว่ายนํ้า
3. ระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์ มีปากและทวาร ช่องปากมีอวัยวะใช้สำ หรับดูดนํ้าและ
อาหารเข้าสู่ลำ ไส้ มีต่อมนํ้าลายและตับช่วยสร้างนํ้าย่อย
4. ระบบหมุนเวียนของเลือดเป็นระบบเปิด มีหัวใจและมีเส้นเลือดนำ ไปตามส่วนต่าง ๆ
5. ร่างกายเป็น Bilateral Symmetry ยกเว้นหอยกาบเดี่ยว
6. เป็น Triploblastica animal
7. กล้ามเนื้อด้านท้องแข็งแรง ทำ หน้าที่เป็นขา (Muscular foot)
8. หายใจด้วยเหงือก หรือ Mantle
9. เป็น Dioecious animal ออกลูกเป็นไข่
7. Phylum Echinodermata (ไฟลัมเอไคโนเดอร์มาตา)
ได้แก่ ดาวทะเล (starfist) หอยเม่น (sea urchin) ปลิงทะเล (sea cucumber) พลับพลึงทะเล
หรือบัวทะเล (sea lilies) ดาวเปราะ (serpent star) อีแปะทะเล (sand dollar) เป็นสัตว์นํ้าเค็ม ที่เกาะ
หรือฝังตัวอยู่ตามพื้นทราย หรือหินปะการัง
ลักษณะสำ คัญ
1. มีสมมาตรแบบรัศมี หรือ radial ตอนตัวเต็มวัย ตอนตัวอ่อนมีสมมาตรแบบ
Bilateral Symmetry
2. ลำ ตัวเป็น 5 แฉก หรือเป็นทวีคูณของ 5 แฉก ลำ ตัวขรุขระ บางชนิดมีหนามยื่น
ออกมา
3. โครงสร้างภายในเป็นแผ่นหินปูนยึดติดกัน ทำ ให้เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือบางชนิดอาจ
เคลื่อนไหวได้
4. ทางเดินอาหารสมบูรณ์ ปากอยู่ด้านล่าง ทวารหนักเปิดทางด้านบน
5. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด ไม่มีเลือด มี Coelomic fluid ทำ หน้าที่แทนเลือด
6. มีระบบนํ้าหมุนเวียนไปยังท่อขา (Tube feet) ซึ่งท่อขาช่วยในการเคลื่อนไหวและ
จับอาหาร
7. หายใจโดยใช้เหงือก ซึ่งเป็นถึงบาง ๆ ยื่นอกจาก coelom ออกมาทางผิวเพื่อ
แลกเปลี่ยนก๊าซ พวกปลิงทะเลมีอวัยวะหายใจแผ่ออกเป็นกิ่งสาขาอยู่ในตัว ติดกับ
ทวารหนัก
8. ระบบประสาท เป็นแบบวงแหวนรอบปาก มีแขนงไปยังส่วนต่าง ๆ ตามแนวรัศมี
9. ระบบสืบพันธุ์แยกเพศปฏิสนธิภายนอกในนํ้าทะเล บางพวกสืบพันธุ์แบบไม่อาศัย
เพศและสามารถงอกส่วนที่ขาดหายไปได้ (Regeneration)
10. ระบบขับถ่าย ไม่มีไต ใช้เซลล์อะมีโบไซท์ (amoenbocyte) ทำ หน้าที่กินของเสีย
คล้ายเม็ดเลือดสีขาว แล้วเคลื่อนตัวนำ ของเสียไปถ่ายออกที่ ractal caecum

8. Phylum Arthropoda (ไฟลัมอาร์โธรโปดา)
สัตว์ในไฟลัมนี้ ได้แก่ พวกกุ้ง กั้ง ปู เพรียง แมลง เห็บ ไร ตะขาบ กิ้งกือ สัตว์ในไฟลัมนี้
มีมากที่สุด
ลักษณะสำ คัญ
1. ลำ ตัวเป็นปล้องยึดติดกัน แบ่งเป็นส่วนหัว (head) อก (thora) และท้อง (abdomen)
หรือส่วนหัวรวมกับส่วนอก เรียกว่า (cephalothorex)
2. มีระยางเป็นข้อ ส่วนมากมีระยางปล้องละ 1 คู่
3. ลำ ตัวและระยางปกคลุมด้วยเปลือกหนาและแข็ง ซึ่งเป็นสารพวกไคติน จึงจัดเป็น
โครงร่างภายนอก (exoskeleton) เปลือกหนานี้สร้างจากผิวหนังและจะมีการสลัด
ส่วนเปลือกทิ้งเป็นระยะ ๆ เมื่อเติบโตขึ้น เรียกว่า การลอกคราบ (molting)
4. กล้ามเนื้อลำ ตัวเป็นกล้ามเนื้อที่ซับซ้อน ทำ งานได้รวดเร็ว ทำ ให้เคลื่อนไหวได้
รวดเร็วมาก
5. ระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์ ปากมีขากรรไกรอยู่ด้านข้างสำ หรับขบเคี้ยวและแทงดูด
ในบางพวก
6. ระบบหมุนเวียนเลือดเป็นแบบเปิด มีหัวใจอยู่ด้านบน (dorsal) สูบฉีดโลหิตออกทาง
เส้นเลือด (artery) ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ แล้วไหลกลับมาเข้าสู่หัวใจโดยผ่านฮีโมซิล
(haemocoel)
7. การหายใจพวกที่อยู่บนบกใช้ท่อลม (trachea) หรือแผงปอด (book lung) พวกที่อยู่
ในนํ้าใช้เหงือก
8. อวัยวะขับถ่ายมีท่อที่โคนขา (coxal gland) หรือ (green gland) ในพวกกุ้ง หรือท่อ
ขับถ่าย มัลพิเกียน ทูบูล (malphigian tubules)
9. ระบบประสาทมีปมประสาท 1 คู่ ด้านบนของหัว และมีเส้นประสาทเชื่อมโยง
รอบคอมาเชื่อมกับเส้นประสาทคู่ด้านท้อง ซึ่งจะมีปมประสาทอยู่ทุก ๆ ปล้อง อวัยวะ
รับความรู้สึกมีหนวดและขนใช้รับสัมผัสและรับสารเคมี มีตาเดี่ยว (simple eye) หรือ
ตาประกอบ (compound eyes) และบางพวกมีอวัยวะรับเสียง ได้แก่ พวกแมลง
บางพวกมีอวัยวะเกี่ยวกับการทรงตัว ได้แก่ พวกกุ้ง ปู
10. ส่วนใหญ่เป็นสัตว์แยกเพศ มีการปฏิสนธิภายใน (internaifertilization) ออกลูกเป็น
ไข่ตัวอ่อน มีหลายระยะ มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างจะเป็นตัวเต็มวัย ซึ่งเรียกว่า
มีเมตามอร์โซซิส ไข่บางชนิดเจริญได้โดยไม่ได้รับการปฏิสนธิ (Parthenongenesis)

สัตว์ในไฟลัมนี้จำ แนกออกเน 6 คลาส คือ

คลาสอะแรคนิดา (Class Arachnida)
เป็นสัตว์ในไฟลัม อาร์โทรโปดา ที่มีอยู่บนบกเป็นส่วนมาก มีส่วนน้อยที่เป็นสัตว์นํ้า สัตว์ใน
คลาสนี้ ไม่มีหนวด มีขา 4 คู่ ส่วนของร่างกายบริเวณหัวและอกจะเชื่อมติดกัน เรียกว่า เซฟาโลทอแรกซ์
(Cephalothorax) และส่วนท้อง (Abdomen) แยกออก หายใจทางท่อลม (Trachea) หรือลังบุค (Lung
book) หรือทั้งสองอย่าง สัตว์ในคลาสนี้แยกเพศ ตัวอย่างได้แมงมุม แมงป่อง เห็บ บึ้ง ฯลฯ สัตว์พวกนี้
มักเรียกว่าเป็น “แมง”

คลาสเมอโรสโตมาตา (Class Merostomata)
ได้แก่ แมงดาทะเล ดำ รงชีวิตอิสระในนํ้ากร่อย และนํ้าเค็ม ลำ ตัวสีนํ้าตาลเข้ม ส่วนหัวและส่วน
อกรวมเป็นส่วนเดียวกัน มีกระดองโค้งเป็นแผ่นแข็งคลุมร่างกายมีขาเดิน 5 คู่ มีตาประกอบ 2 คู่ ไม่มี
หนวด แยกเพศ ปัจจุบันมีแมงดาทะเลทั่วโลก เหลือเพียง 4 ชนิด ในประเทศไทยพบ 2 ชนิด คือ
แมงดาทะเลหางเหลี่ยม หรือแมงดาจาน และแมงดาทะเลหางกลม หรือแมงดาถ้วย หรือเรียกว่า เหรา ซึ่ง
แมงดาทะเลหางกลมอาจมีพิษ ดังนั้น การบริโภคจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอาหารของแมงดาทะเล คือ
ซากสัตว์ หอย และสาหร่ายทะเล

คลาสครัสเตเซีย (Class Crustacea)
อาร์โทรปอดในคลาสนี้อยู่ในนํ้าเป็นส่วนมาก มีตาประกอบ มีหนวด 2 คู่ มีขา 5 คู่ ระยางของ
สัตว์ในคลาสนี้มักแยกเป็น 2 แขนง ลำ ตัว ประกอบด้วยส่วนหัวเชื่อมติดกับส่วนอก ซึ่งเรียกว่า เซฟาโล
ทอแรกซ์ และมีส่วนท้องเรียกว่า แอบโดเมน (Abdomen) ส่วนมากหายใจด้วยเหงือก มีน้อยชนิดที่หายใจ
ด้วยผิว ลำ ตัว มีอวัยวะขับถ่ายเรียกว่า Green gland สัตว์ในคลาสนี้แยกเพศ ตัวอย่างเช่น กุ้งนํ้าจืด,
กุ้งทะเล, ปู, กั้ง, ไรนํ้า, เพรียงหิน ตัวกะปิ ฯลฯ

คลาสอินเซตา (Class insceta)
เป็นอาร์โทรปอดที่มีชนิดมากที่สุดในโลก มีประมาณ 1 ล้าน 5 แสนชนิด ได้แก่ พวกแมลง
ชนิดต่าง ๆ สัตว์ในคลาสนี้มีหนวด 1 คู่ มีขา 3 คู่ ไม่มีปีกหรือมีปีก 1 – 2 คู่ มีตาประกอบ ส่วนของ
ร่างกายแยกเป็น 3 ส่วนชัดเจน คือ หัว, อก และท้อง มีท่อลมเป็นอวัยวะหายใจ ไม่ต้องอาศัยรงควัตถุ
ในเลือดเพื่อลำ เลียงก๊าซ (no respiratory pigment) เพราะปลายสุดของแขนงท่อลมแทรกชิดเซลล์โดยตรง
มีรูหายใจ (spiracle) ที่ผนังลำ ตัวมากมาก ทำ ให้ทุกส่วนของลำ ตัวได้รับออกซิเจนได้โดยตรง และมีท่อ
มัลพิเกียน (Malpighian tubule) เป็นอวัยวะขับถ่าย มีการเจริญเติบโตของตัวอ่อนเป็น 4 แบบ ตัวอย่าง
ได้แก่ ตัวสามง่าม, ยุง, แมลงวัน, ผีเสื้อ, แมลงปอ, ปลวก, มด, จิ้งหรีด, ตั๊กแตน ฯลฯ

คลาสชิโลพิดา (Class Chilopoda)
สัตว์ในคลาสนี้ เรียกว่า เซนติปิด (Centipede) มีขาจำ นวนมากประมาณปล้องละ 1 คู่ ลำ ตัว
ประกอบด้วยส่วนหัว และลำ ตัวยาวของอกติดกับท้อง มีประมาณ 15 ถึง 173 ปล้อง ปล้องหัวมีระยาง
ที่มีพิษอยู่ 1 คู่ มีหนวด 1 คู่ มีตาเดียว เรียกว่า โอเซลลัส (Ocellus) หายใจทางท่อลม ตัวอย่างได้แก่
ตะขาบ ตะเข็บ กินแมลงเป็นอาหารหรืออาจกินซากเน่าเปื่อยเป็นอาหาร

คลาสไดโพลโพดา (Class Diplopada)
สัตว์ในคลาสนี้ เรียกว่า มิลลิปิด (Millipede) มีขาจำ นวนมาก ลำ ตัวค่อนข้างกลม ยาว ประกอบ
ด้วยส่วนหัว และส่วนอกสั้น ๆ และมีส่วนท้องกลมยาว ประกอบด้วยปล้องประมาณ 25 ถึงกว่า 100
ปล้อง มีขาปล้องละ 2 คู่ มีหนวด 1 คู่ หายใจทางท่อลม ไม่มีต่อมพิษ เป็นสัตว์บก ตัวอย่างได้แก่
กิ้งกือ กระสุน พระอินทร์

9. Phylum Chordata (ไฟลัมคอร์ดาตา)
ลักษณะสำ คัญร่วมกัน
1. มีโนโตคอร์ด (Notochord) อย่างน้อยชั่วระยะหนึ่งของชีวิต
2. มีไขสันหลังเป็นหลอดกลวงยาวอยู่ด้านหลัง
3. มีอวัยวะสำ หรับแลกเปลี่ยนก๊าซที่บริเวณคอหอยคือช่องเหงือก หรือที่เปลี่ยนแปลง
มาจากอวัยวะบริเวณคอหอย เช่น ปอด
4. มี coelom ในลำ ตัวด้วยมีโซเดิร์ม (mesoderm) ซึ่งภายในมีอวัยวะภายในต่าง ๆ อยู่
สัตว์ในไฟลัมนี้แบ่งเป็น 3 Subphylum ดังนี้ คือ
1) Subphylum Urochordata เป็นสัตว์นํ้าเค็ม อาจลอยนํ้าหรือว่ายนํ้าได้ มักอยู่ร่วมกัน
เป็นกลุ่มหรือบางชนิดอยู่โดดเดี่ยว มีการสร้างสารคลุมตัว เรียกว่า ทูนิต (tunic)
เป็นสารพวกเซลลูโลส coelom ไม่ชัดเจน ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดมีสองเพศ
ในตัวเดียวกัน ระยะตัวอ่อนมีทางว่ายนํ้า มีโนโตคอร์ดไขสันหลังบริเวณหาง เมื่อ
เป็นตัวเต็มวัยหางจะค่อย ๆ สลายไปจนในที่สุดไม่มีทาง เหลือส่วนไขสันหลังและ
โนโตคอร์ดที่บริเวณตัวบ้าง ได้แก่ เพรียงลอย เพรียงสาย เพรียงหัวหอม
2) Subphylum Cephatochordata ลักษณะตัวยาว หัวท้ายแหลม ฝังตัวตามทรายใน
ทะเล มีโนโตคอร์ดและไขสันหลังตลอดชีวิต ไม่มีสมอง ลำ ตัวเป็นปล้องกินอาหาร
โดยการรองจากนํ้าและนํ้าออกจากรูด้านหลัง ได้แก่ Amphioxus
3) Subphulum Vertebrata หรือสัตว์มีกระดูกสันหลัง ลักษณะทั่วไปมี Notocord หรือ
กระดูกสันหลัง(Vertebra) เป็นข้อๆ มีกะโหลกศีรษะ มีระยาง 2 คู่(ยกเว้นปลาปากกลม
มีคีบเดียว) ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมแก่หน้าที่ มีช่องเหงือกบริเวณ
คอหอย มีตับ ไต มีสมองที่ซับซ้อน เส้นประสาทสมอง 10 หรือ 12 คู่ อวัยวะ
ทรงตัวมี 1 คู่ ระบบสืบพันธุ์มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ หัวใจมี 2 – 4 ห้อง
สัตว์ใน Subphylum Vertebrata แบ่งเป็น 2 พวก คือ
1. เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง หายใจด้วยเหงือก ที่เหงือกมีช่องให้นํ้าไหลผ่าน มีครีบใช้
เคลื่อนไหวและทรงตัว มีหัวใจ 2 ห้อง เส้นประสาทสมอง 10 คู่ มีเกล็ดปกคลุมตัว
มีอวัยวะรับความรู้สึกสั่นสะเทือนอยู่ข้างตัว คือ เส้นข้างตัว มีรูจมูกเล็ก ๆ 1 คู่
ทำ หน้าที่ดมกลิ่น แบ่งเป็น 3 class คือ
1.1 Class Cyclostomata ได้แก่ ปลาปากกลม ที่พบปัจจุบัน คือ Hegfish
lampey ไม่พบในประเทศไทย
1.2 Class Chondriehtypes (คอนดริคไทอิส) ได้แก่ ปลากระดูกอ่อน ซึ่ง
โครงสร้างเป็นกระดูกอ่อนทั้งหมด มีครีบคู่มีเกล็ดใหญ่และเล็ก ปากอยู่
ด้านล่าง มีช่องเหงือก มี 5 – 7 คู่ อยู่ข้างเหนือด้านล่างลำ ตัว ปฏิสนธิภายใน
เช่น ปลาฉลาม กระเบน ฉนาก โรนัน ไคมีรา (Chimaera)
1.3 Class Osteichthyes (ออสเตอิคไทยอิส) ได้แก่ ปลากระดูกแข็งทั้งหมดมีครีบ
2 แบบ คือ ครีบที่มีเนื้อนิ่มรอบกระดูก (lobed fin) และครีบที่มีกระดูกเป็น
เส้นเล็ก ๆ มีหนังบางเชื่อมติดเป็นแผ่นเดียว (ray fin) ส่วนใหญ่มีปฏิสนธิ
ภายนอก
2. เป็นสัตว์มีลักษณะทั่วไป คือ มีระยางใช้เคลื่อนไหว 2 คู่ แต่อาจจะมีคู่เดียวหรือไม่มี
เลย เหลือเพียงร่อยรอยให้เห็น หัวใจมี 3 ห้อง หรือ 4 ห้อง หายใจด้วยปอด
เส้นประสาทสมองมี 10 หรือ 12 คู่ แบ่งเป็น 4 Class
2.1 Class Amphibia ได้แก่ สัตว์ครึ่งบกครึ่งนํ้าลักษณะทั่วไปวางไข่ในนํ้าตัวอ่อน
หายใจด้วยเหงือก และผิวหนัง มีสร้างเมือกให้ตัวลื่น ไม่มีเกล็ด หัวใจมี 3 ห้อง
คือ atrium 2 ห้อง และ ventricle 1 ห้อง อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงตาม
สภาพแวดล้อม ปฏิสนธิภายนอก เช่น กบ คางคก เขียด ปาด อึ่งอ่าง
จงโคร่ง ซาลามานเดอร์ งูดิน
2.2 Class Reptilia สัตว์เลื้อยคลาน ดำ รงชีวิตบนพื้นดิน วางไข่บนบก ไข่มีไข่แดง
มาก เพื่อเป็นอาหารของตัวอ่อน มีถุงนํ้าครํ่า มีแอลแลนทอยด์ เก็บของเสีย และ
ช่วยในการหายใจ มีถึงไข่แด (yolk sac) เป็นอาหารเลี้ยงดูลูกอ่อน ผิวหนัง
ลำ ตัวแห้งมีเกล็ด หายใจด้วยปอดตลอดชีวิต ไม่มีเมตามอร์โฟซิส หัวใจประกอบ
ด้วย atrium 2 ห้อง ventricle 1 ห้อง ซึ่งมีเยื่อกั้นไม่สนิท ยกเว้น จระเข้
ปฏิสนธิภายใน เช่น เต่า ตะพาบนํ้า กระ งู ตุ๊กแก กิ้งก่า ตุ๊ดตู่
2.3 Class Aves เป็นพวกสัตว์ปีก ได้แก่ นกต่าง ๆ ลักษณะทั่วไป มีขนแบบเป็น
ผง ขาหน้าเปลี่ยนเป็นปีก ปากเห็นจงอย ปอดมีถุงลม 9 ถุง ช่วยหายใจและ
ระบายความร้อน ไม่มีกระเพาะปัสสาวะ หัวใจมี 4 ห้องสมบูรณ์ เป็นสัตว์
เลือดอุ่น ปฏิสนธิภายในออกลูกเป็นไข่
2.4 Class Mammilia ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลักษณะทั่วไปคือ นํ้านมเลี้ยง
ลูก มีขนหรือผมแบบ hair มีกระบังลม ส่วนใหญ่กระดูกคอ 7 ชิ้น
มีเส้นประสาทสมอง 12 คู่ เป็นสัตว์เลือดอุ่น หัวใจมี 4 ห้องสมบูรณ์
เม็ดเลือดแดงเมื่อโตเต็มที่จะไม่มีนิวเคลียส มีต่อมเหงื่อใต้ผิวหนัง มีใบหู-ฟัน
2 ชุด ปฏิสนธิภายใน เอมบริโอเจริญในมดลูก เช่น ตุ่นปากเป็ด จิงโจ้
ค้างคาว ตัวนิ่มเกล็ด ตัวกินมด กระต่าย บีเวอร์ หนู ลิง คน บางชนิด
อาศัยอยู่ในทะเล เช่น ปลาวาฬ โลมา พยูน



อาณาจักรพืช (Plant Kingdom)
ลักษณะสำ คัญของสิ่งมีชีวิต
1. มีคลอโรฟิลล์ บรรจุอยู่ในเม็ดคลอโรพลาส์ นอกจากนั้นยังมีรงควัตถุอื่น ๆ อีก เช่น
คาโรดินอยด์ (Carotenoids)
2. ไม่เคลื่อนที่ไปมาหรือไม่เคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่ในบางระยะของวงชีวิตอาจมี
แฟลกเจลลัมสำ หรับเคลื่อนที่ได้
3. เป็นสิ่งมีชีวิตพวกยูคาริโอติก (Eukaryotic cell)
4. ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ รวมกลุ่มกันเป็นเนื้อเยื่อซึ่งมีการเปลี่ยนสภาพของเซลล์ไปทำ
หน้าที่เฉพาะ (Differentiation)
5. เซลล์สืบพันธุ์ผสมกันได้ไซโกต แล้วจะต้องเจริญผ่านระยะเอมบริโอ แล้วจึงจะเจริญเป็น
ต้นใหม่ (ต้นสปอโรไฟต์)
6. มีวงชีวิตแบบสลับ (Alternation of generation) หมายถึงว่ามีระยะของต้นแกมีโตไฟต์
(gemelophyte) สร้างเซลล์สืบพันธุ์ผสมกันแบบอาศัยเพศ สลับกับระยะของต้นสปอโรไฟต์
(sporophyte) สร้างสปอร์เป็นเการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
7. มีผนังเซลล์ (Cell wall) เป็นสารเซลลูโลสและสารเพศติน (Cellulosse และ Pectic
substance)
2n 2n
Zygote Embryo 2n
n n
Sperm Sporophyte
Egg n n meiosis
mitosis n n
Gametophyte Spore

อาณาจักรพืช แบ่งเป็น Division โดยใช้ท่อลำ เลียง (Vascular bundle) เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
1. Division Bryophyta
ที่อยู่บริเวณชุ่มชื้นสูง บางชนิดอยู่บริเวณผิวหน้านํ้า บางชนิดอยู่ตามที่แห้งแล้ง

ลักษณะที่สำคัญ
1. ไม่มีท่อลำ เลียงนํ้า (Xylem) และท่อลำ เลียงอาหาร (phloen) หรือเรียก
มัดท่อนํ้า ท่ออาหาร (Vacular bundle)
2. ไม่มีรากและลำ ต้น และใบที่แท้จริง
3. ต้นที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ (Gametophyte) ขนาดใหญ่กว่าต้นที่สร้างสปอร์
(Sporophyte) ที่ต้นมีส่วนคล้ายรากเรียก Rhizoid

Divison Bryphyta แบ่งเป็น 3 ชนิด เรียงลำ ดับจากวิวัฒนาการสูงสุดไปหาตํ่าสุด เป็นดังนี้
(1) Class Bryopsida
ตัวอย่าง มอส (Moss) มีอายุ 325 ล้านปีมาแล้ว
ที่อยู่ ตามพื้นดิน อิฐ เปลือกไม้
ลักษณะที่สำ คัญ
1. สีเขียวคล้ายพรม ขนาดเล็กเรียงกันแน่น
2. มี Rhizoid ทำ หน้าที่ยึดดิน ดูดนํ้า
3. เป็นพวก Bryophyta ที่มีวิวัฒนาการสูงสุด
4. มีการสืบพันธุ์แบบสลับ (Alternation of Generation) ในธรรมชาติพบ
Gametophyte ง่ายกว่า ส่วน Sporophyte ประกอบด้วย Foot ซึ่งยึดติดกับ
Gametophyte ของต้นตัวเมีย มีก้านชูสปอร์ (Stalk หรือ Seta) และอัปสปอร์
(Sporangium) ภายในมีการสร้าง Spore โดยการแบ่งเซลล์แบบ Meiosis ได้
Chromosome = n. สปอร์ปลิวตกในที่เหมาะสม เจริญเป็น Gametophyte
ประโยชน์
1. รักษาผิวดินจากการชะล้าง
2. ห่อหุ้มรากพืชให้ชื้น
3. ทำ ให้หินผุแตกสลายเป็นดิน
4. ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้

(2) Class Anthooeropsida
ตัวอย่าง Homwort ที่รู้จักทั่วไป คือ
1. Anthooeros 2. Phaeoceros 3. Nolothylus
ที่อยู่ ขึ้นได้ทุกสภาพอากาศ ยกเว้นแถบขั้วโลก
ลักษณะ 1. Gametophyte ลักษณะเป็นส่วน (Thallus) มีรอยหยักที่ขอบแตกแขนงเป็นพู
Sporophyte อยู่บน Thallus ของ Gametophyte ที่โคนมีส่วน Gametophyte หุ้ม
เป็นปลอก Sporophyte ยื่นพ้นปลอกยาวเรียง ปลายแตกเป็น 2 แฉก เพื่อให้สปอร์
กระจาย
2. Sporophyte มี chlorophyll แต่ก็ยังอาศัย Gametophyte ตลอดชีวิต
3. การสืบพันธุ์ Thallus หักเป็นท่อน ๆ แต่ละท่อนเจริญเป็น Thallus ใหม่ได้
(3) Class Hepaticopsida
ตัวอย่าง Livewors (ตะไคร้เทียม)
ที่อยู่ ขึ้นตามที่ชื้นสูง
ลักษณะ
1. มีอายุ 362 ล้านปีมาแล้ว
2. Gametophyte มี 2 แบบ
2.1 อาจเป็นแผ่นแบบราบติดพื้นดิน ด้านล่างมี Rhizoid
2.2 อาจคล้ายลำ ต้น มีใบ เช่น Porella คล้าย Moss
3. Gametophyte แตกแขนงเป็น 2 แฉก (เป็นลักษณะพวกวิวัฒนาการตํ่า)
4. ไม่มี Vascular bundle

การสืบพันธุ์
1. สืบพันธุ์แบบสลับ
2. บางพวกสืบพันธุ์โดยไม่ใช้เพศ โดยสร้าง Gamma cup ขึ้นมา มี cell ที่จะงอก
เป็น Gametophyte ต้นใหม่อยู่ภายในเรียกการสืบพันธุ์แบบนี้ว่า Vegetative
Reproduction

2. Division Psilophyta
ได้แก่ พวกหวายทะนอย (Psllotum sp.)
ลักษณะ
1. วิวัฒนาการตํ่าสุดในพวกมี Vascular bundle (Xylemt Phloem)
2. ไม่มีราก แต่มี Rhizoid แทน
3. ไม่มีใบ ถ้ามีเป็นเกล็ดเล็ก มีเส้นกลางใบ เรียกใบว่า Microphyll
4. ลำ ต้นเล็กเป็นเหลี่ยม มี Chlorophyll แตกกิ่งเป็นคู่ ๆ (Dichotomous branching)
5. Sporophyte โดยสร้างอับ Spore (Sporangium) ติดกับกิ่ง Gametophyte ไม่มี
คลอโรฟิลล์ มีขนาดเล็ก
6. มีการสืบพันธุ์แบบสลับ
7. มีลำ ต้นใต้ดิน เรียก Rhizome

3. Division Lycophyta
บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว และนักชีววิทยาคิดว่ามีวิวัฒนาการมาจาก Psilcphyta
ลักษณะ 1. ไม้เนื้ออ่อน เจริญอิสระ
2. ลำ ต้นตั้งตรง อาจเลื้อยหรือเกาะกับพืชอื่น เรียก Eplphyte
3. มีราก Rhizoid
4. มีใบแบบ microphyll
5. การแตกแขนงราก ลำ ต้น เป็นแบบ 2 แฉก เรียก Dichotomous branching
6. การสืบพันธุ์แบบสลับ ได้แก่
ก. Lycopodium ได้แก่
1. ช้องนางคลี่ 2. สร้อยสุกรม
3. สามร้อยยอด 4. หญ้ารังไก่
5. สร้อยสีดา 6. หางกระรอก
ลักษณะ
1. เป็นอิสระ หรือ Epiphyte
2. อับสปอร์ ประกอบด้วยใบเรียงตัวกันแน่น เรียก Strobilus ทำ หน้าที่สร้าง
Spore อยู่ปลายสุดของกิ่ง, ลำ ตัว
ข. Selaginella ได้แก่
1. ตีนตุ๊กแก 2. หญ้าร้องไห้
3. พ่อค้าตีเมีย 4. เฟือยนก
ลักษณะ
1. ขึ้นตามแถบร้อน ร่ม ชุ่มชื้น
2. ลำ ต้นตรง และเลื้อยบนดิน
3. Sporophyte ลักษณะคล้าย Lycopodium เมื่อแก่เต็มที่ สร้าง Strobilus

4. Division Sphenophyta
สูญพันธุ์ไปแล้ว เหลือเพียง Genus เดียว คือ Equisetum ได้แก่ หญ้าถอดปล้อง สนหางม้า
(หญ้าหางม้า)
ลักษณะ
1. ลำ ต้นเล็ก สีเขียว ข้อและปล้องชัดเจน ดึงถอดจากกันได้ เมื่อเจริญเต็มที่ ภายใน
ลำ ต้นกลวง
2. ใบแตกออกรอบ ๆ ข้อ สีไม่เขียว
3. มี Strobilus ปลายยอด
4. ขึ้นเป็นกอใหญ่ ตามริมนํ้า หนองนํ้า
5. Gametophyte ขนาดเล็ก เป็น Thallus มี Rhizoid
6. มีการสืบพันธุ์แบบสลับ

5. Division Pterophyta
ลักษณะที่สำคัญ
1. ลำ ต้น ราก ใบเจริญดี มี Vascular bundle มีลำ ต้นใต้ดิน ทอดนอนใต้ดิน
ได้แก่ เฟิร์นที่เห็นทั่วไป ใบมีโครงสร้างคล้ายใบทั่วไป เรียกใบประกอบ
ของเฟิร์นทุกชนิดว่า Frond ขณะใบอ่อนจะม้วนปลายไปยังโคนเป็นวงช้อน
กันแน่น (Circinating Vernation) มีการสืบพันธุ์แบบสลับ
แหล่งที่พบ ก. ที่ชุ่มชื้นมาก เช่น เฟิร์น, ปลิงทะเล, ปรงทอง (ปรงไข่)
ข. ลอยตามนํ้า เช่น แหนแดง, จอกหูหนู, บัวแฉก
ค. เกาะต้นไม้, กิ่งไม้เป็น Epiphyte เช่น ชายผ้าสีดา, ข้าหลวงหลังลาย
ง. อยู่ในนํ้าที่ชื้นแฉะ เช่น ผักแว่น, ผักกูดนํ้า, ย่านลิเภา

6. Division Coniferophyta
ลักษณะ
1. เมล็ดไม่มีรังไข่ห่อหุ้ม หรือเกิดบน sporophyll (ส่วนที่เปลี่ยนแปลงจากใบ) ซึ่งเรียง
ตัวแน่น ประกอบเป็น Cone (คล้าย Strobilus)
2. ไม่มีดอก ส่วนมากเป็นไม้ยืนต้น
3. เจริญดีในเขตกันดาร หรือเขตหนาว เช่น ดอยอินทนนท์, ขุนตาล, ภูกระดึง
4. Sporophyte มีอวัยวะสร้าง Spore เรียก Cone รูปร่างคล้ายดอกบัวตูม
Cone แต่ละอันประกอบด้วยใบสร้าง Spore เรียก Sporophyll ลักษณะเป็นแผ่นแข็งซ้อนกัน
แน่นเวลาแก่ใบจะกางออก แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. Staminate Cone สร้าง Microspore มีปีกลอยไปตามลมได้
2. Pstillate Cone สร้าง Megaspore ซึ่งมี Ovule อยู่ด้านติดกิ่ง 2 อัน ไม่มีอะไรห่อหุ้ม
เมื่อ Microspora หล่นถึง Ovule จะงอก Pollentube แล้วปฏิสนธิโดยไม่ใช้นํ้า
เจริญเป็นเมล็ดพืชในกลุ่มนี้ ได้แก่
1. สน 2 ใบ 2. สน 3 ใบ (สนเกี๊ยะหรือสนภูเขา)3. สนฉัตร 4. สนแผง

7. Division Cycadophyta
พืชกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปแล้ว เคยเป็นอาหารของไดโนเสาร์ในปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ
100 ชนิด กระจายอยู่ในเขตร้อนและอบอุ่น
ลักษณะ เป็นพืชที่มีลำ ต้นใหญ่ เตี้ย มีขนาดเล็กกว่าสน มีใบขนาดใหญ่อยู่เป็นกระจุก บนยอด
ของลำ ต้น ลำ ต้นไม่แตกกิ่งก้านเหมือนสน
ตัวอย่าง 1. ปรง 2. ปรงป่า 3. มะพร้าวเต่า 4. ปรงญี่ปุ่น

8. Division Ginkgophyta
ลักษณะ เป็นพืชที่มีลำ ต้นขนาดใหญ่คล้ายพืชมีดอก แผ่นใบกว้างคล้ายพัด มีเมล็ดเปลือยขนาด
ใหญ่ ชอบขึ้นในเขตหนาว เช่น จีน เกาหลี และญี่ปุ่น ได้แก่ แป๊ะก๊วย

9. Division Anthophyta
พวกมีดอกวิวัฒนาการสูงสุด
ลักษณะ
1. เมล็ดมีรังไข่ห่อหุ้ม หรือไข่อ่อนมีรังไข่ห่อหุ้ม เมล็ดเกิดในผลรังไข่ คือ
Megasporophyll ที่โอบเข้าหากัน เพื่อหุ้ม Ovule
2. Sporophyte มีดอก สร้าง Spore คือ ต้นไม้ที่เกิดทั่วไป มีดอก, ใบ, ราก, ลำ ต้น,
เมล็ด
3. อวัยวะสืบพันธุ์คือ ดอก, สร้าง Spore 2 ชนิด คือ
1) Microspore สร้างใน Anther
2) Megaspore สร้างใน Ovule
4. วงจรชีวิตแบบสลับ และ Gametophyte มีอายุสั้น

จำ แนกพืชดอกเป็น 2 Class คือ
1. คลาสมอโนสคอทีลีโดเนส (Class Monocotyledones) ได้แก่ พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
2. คลาสไดคอทีลีโดเนส (Class Dicotyledones) ได้แก่ พืชใบเลี้ยงคู่

ลักษณะของพืชใบเลี้ยงคูและพืชใบเลี้ยงเดี่ยวแตกต่างกันดังนี้
ใบเลี้ยงคู่
1. มีใบเลี้ยง (Cotyledon) 2 ใบ
2. เส้นใบเป็นร่างแห
3. จำ นวนกลีบดอกเป็น 4, 5 หรือทวีคูณ 4, 5
4. Vascular bundle อยู่เป็นระเบียบวงรอบลำ ต้น
5. มีการเจริญเติบโต
6. มีระบบรากแก้ว
7. เวลางอกใบเลี้ยงโผล่เหนือดิน (Epigeal genmination)
8. เห็นข้อปล้องไม่ชัดเจน

ใบเลี้ยงเดี่ยว
1. ใบเลี้ยง 1 ใบ อีกใบเปลี่ยนเป็นปลอกหุ้มยอดอ่อน
2. เส้นใบขนานกัน
3. จำ นวนกลีบเป็น 3 หรือทวีคูณ
4. Vascular bundle กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ
5. ไม่มีการเจริญด้านข้าง
6. ไม่มีระบบรากแก้ว มีระบบรากฝอย
7. เวลางอกใบเลี้ยงอยู่ใต้ดิน (Hypogeal germination)
8. ข้อ, ปล้อง เห็นชัดเจน

อาณาจักรมอเนอรา (Monera Kingdom)
ลักษณะสำ คัญของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรโมเนอรา
1. เป็นสิ่งมีชีวิตพวก Prokaryotic cell
2. เซลล์ไม่มีออร์แกเนลส์ชนิดมีเยื่อหุ้ม เช่น ร่างแหเอนโดพลาสซึม ไลโซโลม คลอโรพลาสต์
เป็นต้น มีเฉพาะอร์แกเนลส์ชนิดไม่มีเยื่อหุ้ม คือ ไรโบโซม
3. เป็นเซลล์ที่มีวิวัฒนาการตํ่า

สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรโมเนอราแบ่งเป็น 2 ไฟลัม

1. Phylum Schizomycophyta
ได้แก่ พวก Bacteria
ลักษณะที่สำ คัญ 1. ไม่มีเยื่อหุ้ม Nucleus (Nuclear membrane) nucleus กระจายทั่วไปใน
Cytoplasm เป็นพวกเซลล์เดียว
2. ไม่มี Chlorophyll ยกเว้นบางชนิด Green bacteria, Purple bacteria
สังเคราะห์และได้จากพลังแสง บางชนิดดำ รงชีวิตเป็น Parasite ทำ ให้เกิด
โรค บางชนิดดำ รงชีวิตแบบภาวะย่อยสลาย (Saprophytism)
3. ผนัง Cell ประกอบด้วย Carbohydrate amino acid
4. บางชนิดมี Flagellum ใช้เคลื่อนที่
5. สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยแบ่ง 1 เป็น 2 ซึ่งเรียกการแบ่งแบบนี้ว่า
Binary Fission
6. มีรูปร่าง 3 แบบ ขนาด 0.001 – 0.005 mm.
ความสำ คัญของแบคทีเรีย
• ประโยชน์
1. เป็น Decompocer ทำ ให้อินทรียสารเปลี่ยนเป็นอนินทรียสาร
2. bacteria ในรากพืชตระกูลถั่ว เรียก Rhizobium (มะขาม, จามจุรี, ถั่ว, แค, กระถิน)
เปลี่ยนไนโตรเจน ในอากาศเป็นสารพวก Nitrate
3. ใช้ในอุตสาหกรรมและการผลิตอาหาร การฟอกหนัง บ่มใบยาสูบ นมเปรี้ยว นํ้าส้มสายชู
4. ผลิต hormone insulin
5. ช่วยย่อย Cellulose ในลำ ไส้คน เช่น พวก E. cell (Escharichia cell)
• โทษแบคทีเรียทำ ให้เกิดโรค
1. เชื้อบาดทะยัก
2. อหิวาตกโรค, บิดไม่มีตัว, ไข้รากสาดน้อย (Thyphoid)
3. คอตีบ ปอดบวม ไอกรน วัณโรค
4. กาฬโรค
5. โกโนเลีย ซิฟิลิส
6. ใบเหลืองในมะเขือเทศ

2. Phylum Cyanophyta
ได้แก่ พวก Blue – green algae
ที่อยู่ นนํ้าจืด ได้แก่ อยู่ตามที่ชื้น ตะไคร่อยู่ตามหิน บ่อนํ้าร้อน
ลักษณะสำ คัญ 1. ไม่มีผนังหุ้มนิวเคลียส เรียกว่าเป็น Procaryotic cell
2. มี Chlorphyll ภายใน Cytoplasm ไม่มี chloroplast สังเคราะห์แสงได้ใน
O2 และนํ้า
3. มี Phycocyanin (สีนํ้าเงิน) รวมกับ Chlorophyll
4. อาจอยู่เป็นกลุ่ม (Colony) หรือเป็นสาย (Filament) และมีเปลือกหรือเมือก
หุ้ม
5. บางชนิดตรึง N2 ในอากาศเหมือน bacteria เช่น Anabena อาศัยในช่องว่าง
กลางใบของแหนแดง (Fern) เลี้ยงในนาข้าวเป็นปุ๋ยพืชสด
6. สืบพันธุ์แบบ
1) Binary fission
2) การหักเป็นท่อนเรียก Fragmentation
7. Spirulina มี Protein สูงมาก จึงทำ เป็นอาหารเสริม

อาณาจักรโปรติสตา (Protista Kingdom)
ลักษณะที่สำ คัญของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรโปรติสตา
1. ร่างกายประกอบด้วยโครงสร้างง่าย ไม่ซับซ้อน ส่วนมากประกอบด้วยเซลล์เดียว (unicellular)
บางชนิดมีหลายเซลล์รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่า โคโลนี (Colony) หรือเป็นสายยาว (Filament)
แต่ยังไม่ทำ หน้าที่ร่วมกันเป็นเนื้อเยื่อ (Tissue) หรืออวัยวะ (Organ) แต่ละเซลล์สามารถทำ
หน้าที่ของความเป็นสิ่งมีชีวิตได้ครบถ้วนอย่างอิสระ
2. ไม่มีระยะตัวอ่อน (Embryo)
3. การดำ รงชีวิตมีทั้งชนิดที่เป็นผู้ผลิต (Autotroph) เพราะมีคลอโรฟิลล์เป็นผู้บริโภค
(Consumer) และเป็นผู้ย่อยสลาย (Decomposer)
4. เป็นพวก Eukaryotic cell
5. การเคลื่อนที่ บางชนิดเคลื่อนที่ได้โดยใช้ Cilia, Flageilum, Pseudopodium บางชนิดไม่
เคลื่อนที่
6. การสืบพันธุ์ มีทั้งแบบไม่อาศัยเพศแบบอาศัยเพศ

1. Phylum Protozoa
ลักษณะที่สำ คัญ
1. สิ่งมีชีวิต Cell เดียว หรือหลาย Cell รวมเป็นกลุ่มอยู่ในนํ้าจืด ทะเล ในดิน เป็นอิสระและ
Symbiosis
2. ภายในมี nucleus 1 อัน (หลาย nucleus เช่น paramecium)
3. การเคลื่อนที่
บางชนิด เช่น Flagelum เช่น Euglena, Trypanosoma
บางชนิดเคลื่อนที่ใช้ Cilia เช่น Paramecium, Vorticella
บางชนิดใช้ขาเทียม Pseudopodium เช่น Amoeba
บางชนิดไม่เคลื่อนที่ เช่น Plasmodium
4. อยู่เป็นอิสระ เช่น Amoeba Paramecium
Parasite เช่น Plasmodium Trypanasom
Symbiosis เช่น Protozoa ในลำ ไส้ปลวก Entamoeba sp.
5. การสืบพันธุ์
1) Binary Fission
2) โดยใช้เพศ เช่น พบใน Paramecium
แบ่งออกเป็น 4 class
1. Class Fiagellata
เคลื่อนที่โดยใช้ Flagella ได้แก่ Euglena
2. Class Sarcodina
เคลื่อนที่โดยการไหลของ Cytoplasm ทำ ให้เกิดส่วนที่ยื่น เรียกขาเทียม
(Pseudopodium) เรียกการเคลื่อนที่ว่า Amoebold movement
3. Class Cllata
เคลื่อนที่โดยใช้ขน Cilia ได้แก่ Paramecium, Vorticella
4. Class Sporazoa
ไม่มีโครงสร้างเคลื่อนที่ เพราะเป็น parasite ล้วน ได้แก่ เชื้อไข้จับสั่น (Plasmodium)

2. Phylum Chlorophyta
พวกสาหร่ายสีเขียวต่างๆ เดิมจัดในพวกพืช เพราะมี Chlorophyll และเพราะมี cell เดียว
ไม่รวมกันเป็นเนื้อเยื่อ จึงจัดใน Kingdom Protista
ลักษณะทั่วไป ของสาหร่ายสีเขียว
1. พบตามบ่อ, บึง, คู ที่มีนํ้าขัง ทั้งนํ้าจืดและทะเล
2. Division ใหญ่ที่สุด
3. เป็น Producer ขนาดใหญ่
4. สะสมอาหารแป้งเหมือนพืชชั้นสูง
5. ผนัง Cell ประกอบด้วย Cellulose
6. รูปร่าง Cell เดียว เป็นกลุ่ม เป็นสาย (Filament)

3. Phylum Chrysophyta
สาหร่ายสีนํ้าตาลแกมเหลือง, สีเขียวแกมเหลือง และ Diatom (มี Diatom มากที่สุด) พบใน
ทะเล, นํ้าจืด
ลักษณะที่สำ คัญ 1. มีรงควัตถุสีเหลือง, นํ้าตาลปน Chlorophyll
2. ผนัง Cell ของ Diatom ประกอบด้วยสาร Silica พวกนี้ตายทับถมเป็น
แหล่งรวมแร่ธาตุ, นํ้ามัน นอกจากนี้ ซาก Diatom ใช้ในอุตสาหกรรม
ต่อไปนี้
- ทำ เครื่องแก้ว, ยาขัดโลหะ ยาสีฟัน
- ฉนวนความร้อนในตู้เย็น, เตาอบ
- เตาหลอมโลหะ
- เป็นส่วนสำ คัญในการกรองนํ้าตาลที่ใช้สำ หรับผลิตเบียร์

4. Phylum Phaeophyta
สาหร่ายสีนํ้าตาล
ลักษณะที่สำ คัญ 1. พบในนํ้าเค็มส่วนมาก
2. ขนาดใหญ่ ประกอบด้วย Cell จำ นวนมาก (สาหร่ายหลาย Cell)
3. ผนัง Cell ประกอบด้วยสาร Alginic a นำ มาสกัดในรูป Algin ใช้ใน
อุตสาหกรรมทำ สี, ทำ ยา และขนมหวาน, ทำ อาหาร, เส้นใย, ยาง, สบู่

5. Phylum Rhodophyta
พวกสาหร่ายสีแดง
ลักษณะที่สำคัญ
1. มีรงควัตถุแดง Chlorophyll
2. ผนัง Cell มีสารเมือกเหนียว (Colloid) โดยใช้สารนี้สกัดทำ วุ้น (Aga)
ทำ อาหารกระป๋อง, เครื่องสำ อาง เป็นอาหารเลี้ยงจุลินทรีย์ ทำ Capsule ยา,
ทอผ้า (เคลือบเส้นใยเหนียว), ผสมยาขัดรองเท้า และครีมโกนหนวด

6. Phylum Myxomycophyta
ได้แก่ ราเมือก
สถานที่ พบตามที่ชื้นแฉะทั่วไป เช่น ตามกอไม้ผุ ๆ ใบไม้ที่ทับถมกันอยู่นาน ๆ ชุ่มชื้น
ลักษณะที่สำคัญ
1. มองเห็นด้วยตาเปล่า เป็นเมือกข้นสีขาว เหลือง ส้ม ไม่มี Chlorophyll
2. ช่วงชีวิตหนึ่ง ลักษณะคล้ายแผ่นวุ้น ประกอบด้วย Cell หลาย Cell มา
รวมกัน โดยแต่ละ Cell ไม่มีผนังกัน ภายในมี nucleus หลายวัน
มองดูคล้ายร่างแห เรียกระยะนี้ว่า Plasmodium เคลื่อนที่คล้ายสัตว์
เรียกว่า Amocboid movement เมื่อเข้าระยะสืบพันธุ์ สร้างอับ Spore
ภายในมี Spore คล้ายพืช เพื่อตกที่เหมาะสม ลอกคล้ายแผ่นวุ้น
3. ดำ รงชีวิตแบบ Sapprophyte บางชนิดแบบ Parasite

อาณาจักรฟังไจ (Kingdom Fungi)
ลักษณะสำ คัญของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจ
1. เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำ รงชีพอยู่ในสภาวะย่อยสลาย (Suprophyte)
2. ไม่มีคลอโรฟิลล์ พบทั้งในนํ้าและบนบก
3. รูปร่างเป็นเส้นใยเล็ก ๆ แต่ละเส้นเรียกว่า ไฮฟา (Hypha) เส้นใยจะรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม
เรียกว่า ไมซีเลียม (mycellum) ยกเว้นพวกที่ไม่มี mycellum คือยีสต์
4. สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศด้วยการสร้างสปอร์

สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจแบ่งเป็น 4 ดิวิชัน
1. ดิวิชันไซโกไมโคตา (Division Zygomycota)
ลักษณะที่สำ คัญ - ไฮฟาไม่มีเยื้อกั้น
- มีลักษณะคล้ายสาหร่าย Algae like fungi
- ผนังเซลล์เป็นสารพวกไคทิน
- การสืบพันธุ์มีทั้งแบบไม่อาศัยเพศและแบบอาศัยเพศ โดยการสร้างสปอร์
เรียกว่า ไซโกสปอร์ (Zygospore)
- ตัวอย่างเช่น ราดำ (Rhizopus spp.) ที่ชื้นบนขนมปัง

2. ดิวิชันแอสโคไมโคตา (Division Ascomycota)
ลักษณะที่สำ คัญ - ไฮฟามีผนังกั้น (septate) แต่เยื่อกั้นมีรูทะลุทำ ให้ไซโทพลาซึมและนิวเคลียส
ไหลถึงกันได้ บางชนิดมีเซลล์เดียวคือ ยีสต์
- มีการสร้างสปอร์ โดยการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ มีถุงสปอร์เรียก แอสคัส
(Ascus) ภายในมีสปอร์ เรียกว่า แอสโคสปอร์ (Ascospore)
- ตัวอย่างยีสต์ (Saccharomyces spp.) ราสีแดง (Mohascus spp.) ราที่นำ มาใช้
ในการผลิตเพนิซิลลิน (Penicillin sp.) ราที่ใช้ผลิตกรดซิตริก (Aspergillus
niger) เป็นต้น

3. ดิวิชันเบสิดิโอไมโคตา (Division Basidiomycota)
ลักษณะที่สำ คัญ - ไฮฟามีผนังกั้นอย่างสมบูรณ์
- มีการสร้างสปอร์โดยการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเรียกว่า เบสิดิโอสปอร์
(basidiospore)
- เป็นราที่มีก้านชูอับสปอร์ รูปร่างคล้ายกระบอง (Club fungi) ก้านชูนี้
เรียก เบสิเดียม (Basidium)
- ตัวอย่าง เห็ดชนิดต่าง ๆ เช่น เห็ดฟาง (Volvaridla vlovace),เห็ดหอม
(Lentinula edodes) หรือราสนิม (Puccinla graministritici) เป็นต้น

4. ดิวิชันดิวเทอโรไมโคตา (Division Deoteromycota)
ลักษณะที่สำ คัญ - เป็นราที่มีการสืบพันธุ์เฉพาะแบบไม่อาศัยเพศ
- สร้างสปอร์ด้วยโครงสร้างที่เรียกว่า โคนิเดีย (Conidia)
- ตัวอย่างราที่ทำ ให้เป็นโรคกลาก เกลื้อน โรคเท้าเปื่อย เป็นต้น

Lichens (ไลเคนส์)
ลักษณะที่สำ คัญ
สิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยสาหร่าย (Algae) และรา (Fungi) อยู่ร่วมกันแบบ Mutualism โดย
สาหร่ายสังเคราะห์แสง ให้อาหารแก่รา ส่วนราให้ความชื้นแก่สาหร่าย เพราะห่อหุ้มภายนอก
สาหร่ายเป็นพวก Chlorophyta และ Blue green algae ส่วนราเป็นพวก Asocmycetes
• ประโยชน์
1. บ่งบอกมลพิษในอากาศได้ ถ้าดูดอากาศพิษไว้มันจะตาย
2. ทำ ให้หินถูกย่อยสลายเป็นดิน เพราะไลเคนส์ปล่อยสารเป็นกรดออกมา
3. เป็นอาหารสัตว์เล็ก ๆ เช่น หอย หนอน
4. รักษาบาดแผล ทำ สีย้อมผ้า
การจำ แนกไลเคนส์ จำ แนกตามรูปร่างเป็น 3 ชนิด
1) Crustose Lichens
2) Follose Lichens
3) Fruticose Lichens

ไวรัส (Virus)
ลักษณะที่สำ คัญ
1. ไม่มีลักษณะเป็น Cell เป็นโครงร่างง่าย ๆ ประกอบด้วยสาย RNA หรือ DNA ที่มีโปรตีน
หุ้มล้อมรอบ
2. ขนาดเล็กกว่า 210 Um
3. เจริญได้เมื่ออยู่ในสิ่งมีชีวิตอื่น
4. เป็นอนุภาคเรียก Virion
• โทษของ Virus ทำ ให้เกิดโรคต่อไปนี้
- โรคพิษสุนัขบ้า - โรคฝีดาษ
- ไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่ - หัด, คางทูม
- อีสุกอีใส - โปลิโอ
- ตับอักเสบ - โรคใบหงิก ใบด่างในยาสูบ
- หัดเยอรมั


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น